TLMS LEARNING.
  • Home
  • เนื้อหาบทเรียน
    • วิชาการเขียนโปรแกรม
    • วิชาวิทยาการคำนวณ
  • เข้าสู่ระบบบทเรียน
TLMS LEARNING.

computerclassbanner

Home

Written by admin on 24 สิงหาคม 2566. Posted in วิชาการเขียนโปรแกรม.

หน่วยที่ 8 คำสั่งเลือกทำ (if statement)

ดูเนื้อหารูปแบบไฟล์ PowerPoint คลิกที่นี่ 

คำสั่ง if คืออะไร

คำสั่ง if เป็นคำสั่งที่ใช้ควบคุมการทำงานของโปรแกรมที่เป็นพื้นฐานและง่ายที่สุด เราใช้คำสั่ง if เพื่อสร้างเงื่อนไขให้โปรแกรมทำงานตามที่เราต้องการเมื่อเงื่อนไขนั้นตรงกับที่เรากำหนด เช่น การตรวจสอบค่าในตัวแปรกับตัวดำเนินการประเภทต่างๆ

อ่านเพิ่มเติม: หน่วยที่ 8 คำสั่งเลือกทำ (if statement)

  • ฮิต: 1451

Written by admin on 23 สิงหาคม 2566. Posted in วิชาการเขียนโปรแกรม.

หน่วยที่ 7 ตัวดำเนินการและนิพจน์

ตัวดำเนินการ ในภาษา Python

ตัวดำเนินการ (Operators) คือกลุ่มของเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ที่ใช้ทำงานเหมือนกับฟังก์ชัน แต่แตกต่างกันตรงไวยากรณ์หรือความหมายในการใช้งาน ในภาษา Python นั้นสนับสนุนตัวดำเนินการประเภทต่างๆ สำหรับการเขียนโปรแกรม เช่น ตัวดำเนินการ + เป็นตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ที่ใช้สำหรับการบวกตัวเลขเข้าด้วยกัน หรือตัวดำเนินการ > เป็นตัวดำเนินการเพื่อให้เปรียบเทียบค่าสองค่า

อ่านเพิ่มเติม: หน่วยที่ 7 ตัวดำเนินการและนิพจน์

  • ฮิต: 501

Written by admin on 23 สิงหาคม 2566. Posted in วิชาการเขียนโปรแกรม.

หน่วยที่ 6 ชนิดข้อมูลในภาษาไพธอน

หน่วยที่ 6 ชนิดข้อมูลในภาษาไพธอน

 ในภาษาไพธอนมีชนิดของข้อมูลอยู่หลายชนิดด้วยกัน โดยอาจแบ่งใหญ่ๆออกเป็น ๒ กลุ่มคือ ข้อมูลแบบเดี่ยว กับ ข้อมูลแบบกลุ่ม

ข้อมูลแบบเดี่ยวนั้นได้แก่ข้อมูลที่เป็นค่าตัวเลขต่างๆ ได้แก่ จำนวนเต็ม (int), จำนวนจริง (float) และจำนวนเชิงซ้อน (complex) นอกจากนี้ยังมีข้อมูลอีกชนิดหนึ่งซึ่งเก็บค่าความจริงเท็จทางตรรกศาสตร์ เรียกว่าบูล (bool)

ข้อมูลแบบกลุ่มนั้นได้แก่ข้อมูลที่เป็นสายอักขระ (str) และข้อมูลชนิดที่เป็นรายการของข้อมูลชนิดอื่นอีกที ได้แก่ ลิสต์ (list), ทูเพิล (tuple), ดิกชันนารี (dict), เซ็ต (set), เรนจ์ (range) เป็นต้น

อ่านเพิ่มเติม: หน่วยที่ 6 ชนิดข้อมูลในภาษาไพธอน

  • ฮิต: 944

Written by admin on 23 สิงหาคม 2566. Posted in วิชาการเขียนโปรแกรม.

หน่วยที่ 5 ตัวแปร

ตัวแปร(variable)

การกำหนดตัวแปร เป็นการใช้ชื่อตัวแปรแทนตำแหน่งบนหน่วยความจำ สำหรับเก็บข้อมูลระหว่างการประมวลผล ซึ่งอาจเป็นข้อมูลนำเข้า ข้อมูลที่เกิดจากการดำเนินการหรือข้อมูลผลลัพธ์ การตั้งชื่อตัวแปร เป็นไปตามกฎเกณฑ์การตั้งชื่อของภาษาซี โดยชื่อที่เหมาะสม ควรจะสื่อความหมาย

อ่านเพิ่มเติม: หน่วยที่ 5 ตัวแปร

  • ฮิต: 387

Written by admin on 23 สิงหาคม 2566. Posted in วิชาการเขียนโปรแกรม.

หน่วยที่ 4 ภาษาโปรแกรม

หน่วยที่ 4 ภาษาโปรแกรม
programmingla

มนุษย์เรารู้จักการใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยแก้ปัญหาต่างๆ มานับร้อยปีแล้ว ซึ่งการสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานนั้น จะต้องอาศัยภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการสั่งงาน โดยเป็นการเขียนคำสั่งด้วยเลข 0 และ 1 ซึ่งเข้าใจได้ยากมาก 

การเขียนโปรแกรมเพื่อแก้ปัญหานั้นไม่จำเป็นต้องใช้กับสถานการณ์ที่ซับซ้อนเสมอไปแต่ยังสามารถเขียนโปรแกรมเพื่อแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวันได้ เช่น นักเรียนอาจเขียนโปรแกรมเพื่อประมวลผลการฝากเงินออมทรัพย์ประจำวันของนักเรียนแทนที่จะต้องจดลงบนกระดาษ นักเรียนสามารถกลั่นกรองแนวคิดของตนเอง ออกแบบขั้นตอนวิธี และเขียนโปรแกรมเพื่อช่วยประมวลผล

อ่านเพิ่มเติม: หน่วยที่ 4 ภาษาโปรแกรม

  • ฮิต: 165

Written by admin on 22 สิงหาคม 2566. Posted in วิชาการเขียนโปรแกรม.

หน่วยที่ 2 การเขียนผังงาน Flowchart และ Pseudo Code (ซูโดโค้ด)

หน่วยที่ 2 การเขียนผังงาน Flowchart และ Pseudo Code (ซูโดโค้ด)

ผังงาน  (Flowchart)  

             คือ  แผนภาพแสดงการทำงานของโปรแกรม  โดยใช้สัญลักษณ์แสดงขั้นตอนและลักษณะการทำงานแบบต่างๆ  สัญลักษณ์เหล่านี้จะถูกเชื่อมโยงด้วยลูกศรเพื่อแสดงลำดับการ

ทำงาน  ช่วยให้มองเห็นภาพการทำงานโดยรวมของโปรแกรม  สะดวกต่อการตรวจสอบความถูกต้องของลำดับการทำงานและการไหลของข้อมูลในโปรแกรม  การเขียนผังงานจะใช้สัญลักษณ์สื่อสารความหมายให้เข้าใจตรงกันของสถาบันมาตรฐานแห่งชาติอเมริกัน (The American National Standard Institute, ANSI) ได้กำหนดสัญลักษณ์ไว้เป็นมาตรฐาน  ซึ่งมีรายละเอียดรูปแบบและความหมายที่ควรทราบตามตารางต่อไปนี้

อ่านเพิ่มเติม: หน่วยที่ 2 การเขียนผังงาน Flowchart และ Pseudo Code (ซูโดโค้ด)

  • ฮิต: 3491

Written by admin on 22 สิงหาคม 2566. Posted in วิชาการเขียนโปรแกรม.

หน่วยที่ 3 ขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรม

หน่วยที่ 3 ขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรม

1. กำหนดปัญหาและวิเคราะห์ปัญหา (Problem Definition and Problem Analysis)
2. เขียนผังงานและซูโดโค้ด (Pseudocoding)
3. เขียนโปรแกรม (Programming)
4. ทดสอบและแก้ไขโปรแกรม (Program Testing and Debugging)
5. ทำเอกสารและบำรุงรักษาโปรแกรม (Program Documentation and Maintenance)

อ่านเพิ่มเติม: หน่วยที่ 3 ขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรม

  • ฮิต: 223

Written by admin on 22 สิงหาคม 2566. Posted in วิชาการเขียนโปรแกรม.

หน่วยที่ 1 หลักการเขียนโปรแกรม

หน่วยที่ 1 หลักการเขียนโปรแกรมเบื้องต้น
การเขียนโปรแกรมคืออะไร
การเขียนโปรแกรม = การสั่งคำสั่งคอมพิวเตอร์
การเขียนโปรแกรมแท้จริงแล้วก็คือ การส่งคำสั่งให้กับคอมพิวเตอร์ทำงานให้กับเราโดยสั่งคำสั่งผ่าน "ภาษาคอมพิวเตอร์" เช่น Python โดยคำสั่งนั้นขึ้นอยู่กับการออกแบบ การกำหนดเงื่อนไข และขั้นตอนที่เรากำหนดขึ้นมาเอง

อ่านเพิ่มเติม: หน่วยที่ 1 หลักการเขียนโปรแกรม

  • ฮิต: 208

Written by admin on 30 มกราคม 2567. Posted in วิชาวิทยาการคำนวณ.

หน่วยที่ 7 คำสั่งเลือกทำ If Statement

ดูเนื้อหารูปแบบไฟล์ PowerPoint คลิกที่นี่ 

คำสั่ง if คืออะไร

คำสั่ง if เป็นคำสั่งที่ใช้ควบคุมการทำงานของโปรแกรมที่เป็นพื้นฐานและง่ายที่สุด เราใช้คำสั่ง if เพื่อสร้างเงื่อนไขให้โปรแกรมทำงานตามที่เราต้องการเมื่อเงื่อนไขนั้นตรงกับที่เรากำหนด เช่น การตรวจสอบค่าในตัวแปรกับตัวดำเนินการประเภทต่างๆ คำสั่ง if จะทำงานเมื่อเงื่อนไขที่อยู่ด้านหลังเป็นจริงเท่านั้น หากเงื่อนไขด้านหลังคำสั่งเป็นเท็จ โปรแกรมจะข้ามไปทำงานในคำสั่งถัดไป นั่นคือคำสั่ง elif

อ่านเพิ่มเติม: หน่วยที่ 7 คำสั่งเลือกทำ If Statement

  • ฮิต: 625

Written by admin on 24 มกราคม 2567. Posted in วิชาวิทยาการคำนวณ.

หน่วยที่ 6 คำสั่งวนซ้ำในภาษาไพธอน

คำสั่งวนซ้ำในภาษาไพธอน ในบทเรียนนี้เราจะมาเรียนรู้คำสั่ง while กันนะครับ
คำสั่ง while loop เป็นคำสั่งวนซ้ำที่ง่ายและพื้นฐานที่สุดในภาษา Python คำสั่ง while loop นั้นใช้ควบคุมโปรแกรมให้ทำงานบางอย่างซ้ำๆ ในขณะที่เงื่อนไขของลูปนั้นยังคงเป็นจริงอยู่ นี่เป็นรูปแบบของการใช้งานคำสั่ง while loop ในภาษา Python

while expression:
    # statements

ในรูปแบบการใช้งานคำสั่ง while loop นั้น เราสร้างลูปด้วยคำสั่ง while และตามด้วยการกำหนด expression ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่จะให้โปรแกรมทำงาน ซึ่งโปรแกรมจะทำงานจนกว่าเงื่อนไขจะเป็น False และสิ้นสุดการทำงานของลูป ภายในบล็อคคำสั่ง while นั้นประกอบไปด้วยคำสั่งการทำงานของโปรแกรม ต่อไปมาดูตัวอย่างโปรแกรมนับเลขที่แสนคลาสสิคด้วยการใช้คำสั่ง while loop ในภาษา Python

มาดูตัวอย่างคำสั่งพร้อมคำอธิบายกันเถอะ

คำสั่งที่เขียน

num1=1;
while(num1<=200):
print(num1);
num1=num1+3;

 

number=50;
while(number>=15):
print(number);
number=number-2;


while

 
จากภาพจะมีโปรแกรม 2 โปรแกรมนั่นคือ Pro 1 กับ Pro2 อ้างอิงจากภาพ ชื่อโปรแกรมจะอยู่ฝั่งขวามือที่ครูเขียนปีกกาคร่อมไว้ และมีเส้นประสีแดงๆที่ครูขีดด้วยมือ แบ่งแยกโปรแกรมออกจากกันไว้แล้ว ซึ่งโปรแกรม Pro 1 เป็นโปรแกรมนับเลขขึ้น  โปรแกรม Pro 2 เป็นโปรแกรมนับเลขถอยหลัง มาดูคำอธิบายทีละหมายเลขกัน
เริ่มจากโปรแกรม Pro 1 ก่อน ซึ่งคำสั่งใน Pro 1 มีดังนี้
num1=1;
while(num1<=200):
print(num1);
num1=num1+3;
โปรแกรมนี้ประกอบด้วย 4 บรรทัด แปลคำสั่งทีละคำสั่งได้ดังนี้
num1=1;  ประกาศตัวแปรชื่อว่า num1 ให้มีค่าเท่ากับ 1 ซึ่งเป็นค่าเริ่มต้นที่จะให้โปรแกรมนับเลขขึ้นจากตรงนี้ นั่นก็คือ นับเริ่มจากเลข 1 ขึ้นไป เราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเลขนี้ได้ว่าอยากให้โปรแกรมนับเลขจากเลขอะไร
while(num1<=200): 
คำสั่ง while คือจะสั่งให้โปรแกรมวนซ้ำตามเงื่อนไขที่อยู่ข้างในวงเล็บ นั่นคือเอาตัวแปร num1 มาวนซ้ำจนกว่าจะถึง 200 แสดงว่าโปรแกรมนี้จะนับเลขจากเลข 1 ไปจนถึง 200 
print(num1);  เป็นคำสั่งแสดงข้อความออกทางจอภาพ ในที่นี้คือคำสั่งแสดงตัวเลขในตัวแปร num1 ออกมาในแต่ละรอบที่วนซ้ำ
num1=num1+3;  คำสั่งบรรทัดนี้เป็นการกำหนดให้เพิ่มค่าให้กับตัวแปร num1 ว่าจะให้นับเลขขึ้นทีละเท่าไหร่ สังเกตุเครื่องหมาย + คือการให้เพิ่มค่าขึ้น ถ้าใส่เลข 1 โปรแกรมก็จะนับเลข 1  2 3 4 5 6 .... ขึ้นทีละ 1 แต่ในภาพเป็นการนับเลข 1-200 นับขึ้นทีละ 3 เมื่อรันโปรแกรมจะได้ดังภาพ
whilepro1
จากภาพโปรแกรมจะนับขึ้นทีละ 3 ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึง 200 ตามเงื่อนไขในคำสั่ง while แต่เนื่องจากผลรันเยอะ ครูจึงเอาผลรันมาแค่หน้าเดียวเป็นตัวอย่าง

ต่อด้วยโปรแกรม Pro 2 เลย คำสั่งใน Pro 2 มีดังนี้
number=50;
while(number>=15):
print(number);
number=number-2;
อธิบายคำสั่งทีละบรรทัดได้ดังนี้ 

number=50;  ประกาศตัวแปรชื่อว่า number ให้มีค่าเท่ากับ 50 คือกำหนดให้โปรแกรมเริ่มนับเลขถอยหลังจากเลข 50
while(number>=15): คำสั่ง while คือจะสั่งให้โปรแกรมวนซ้ำตามเงื่อนไขที่อยู่ข้างในวงเล็บ นั่นคือเอาตัวแปร number มาวนซ้ำจนกว่าจะถึง 15 แสดงว่าโปรแกรมนี้จะนับเลขถอยหลังจากเลข 50 ไปจนถึง 15
print(number); แสดงค่าข้อมูลในตัวแปร number ออกมาในแต่ละรอบที่วนซ้ำ
number=number-2; คำสั่งบรรทัดนี้เป็นการกำหนดให้ลดค่าให้กับตัวแปร number ว่าจะให้นับเลขถอยหลังลงทีละเท่าไหร่ สังเกตุเครื่องหมายลบ -  คือการให้ลดค่าตัวแปร number ลง ถ้าใส่เลข 1 โปรแกรมก็จะนับเลขถอยหลังลงทีละ 1 แต่ในภาพเป็นการนับเลขถอยหลังจาก 50 - 15  นับถอยหลังลงทีละ 2 เมื่อรันโปรแกรมจะได้ดังภาพ

while minus

  • ฮิต: 258

Written by admin on 24 มกราคม 2567. Posted in วิชาวิทยาการคำนวณ.

หน่วยที่ 5 ตัวดำเนินการและนิพจน์ในภาษาไพธอน

ตัวดำเนินการ ในภาษา Python

ตัวดำเนินการ (Operators) คือกลุ่มของเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ที่ใช้ทำงานเหมือนกับฟังก์ชัน แต่แตกต่างกันตรงไวยากรณ์หรือความหมายในการใช้งาน ในภาษา Python นั้นสนับสนุนตัวดำเนินการประเภทต่างๆ สำหรับการเขียนโปรแกรม เช่น ตัวดำเนินการ + เป็นตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ที่ใช้สำหรับการบวกตัวเลขเข้าด้วยกัน หรือตัวดำเนินการ > เป็นตัวดำเนินการเพื่อให้เปรียบเทียบค่าสองค่า

อ่านเพิ่มเติม: หน่วยที่ 5 ตัวดำเนินการและนิพจน์ในภาษาไพธอน

  • ฮิต: 256

Written by admin on 13 ธันวาคม 2566. Posted in วิชาวิทยาการคำนวณ.

หน่วยที่ 4 การรับข้อมูลนำเข้าในภาษาไพธอน

การรับข้อมูลนำเข้าในภาษาไพธอน จะใช้คำสั่ง input ดังแสดงตัวอย่างในภาพ
input1

คัดลอกคำสั่งต่อไปนี้ไปวางใน Python IDLE แล้วลองรันคำสั่งดูสิ

name=input("กรุณากรอกชื่อ-สกุลของคุณ ");
score1=int(input("กรุณากรอกคะแนนกลางภาค "));
score2=int(input("กรุณากรอกคะแนนปลายภาค "));
total=int(score1+score2);
print(total);
print("คะแนนรวมของคุณคือ",total);
print("คะแนนรวมของคุณ ",name,"คือ ",total);

คำอธิบายโปรแกรม

คำสั่ง input ในภาษาไพธอนเป็นคำสั่งรับค่าข้อมูลจากผู้ใช้ทางคีย์บอร์ด ถ้ามีคำสั่ง input โปรแกรมจะรอให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลเข้ามา ซึ่งจากคำสั่งด้านบนที่แสดงในภาพ เป็นการรับข้อมูล ชื่อ-สกุล คะแนนกลางภาค คะแนนปลายภาค เข้ามาจากผู้ใช้ แล้วนำไปคำนวณ จากนั้นแสดงผลการคำนวณออกทางจอภาพในรูปแบบต่างๆ รายละเอียดดังจะแสดงต่อไปนี้

name=input("กรุณากรอกชื่อ-สกุลของคุณ ");
name คือตัวแปรสำหรับเก็บค่าชื่อ-สกุลที่ผู้ใช้กรอกเข้ามา input คือคำสั่งรับค่าจากผู้ใช้ทางคีย์บอร์ด ถ้ามีคำสั่ง input โปรแกรมจะรอให้กรอกข้อมูลเข้ามาจึงจะทำคำสั่งถัดไป สุดท้ายคือ กรุณากรอกชื่อ-สกุลของคุณ เป็นคำอธิบายที่มีไว้แสดงให้ผู้ใช้ทราบว่า จะให้กรอกอะไรเข้ามา ถ้าไม่มีข้อความนี้ผู้ใช้จะไม่ทราบว่าจะต้องกรอกอะไรเข้ามา


score1=int(input("กรุณากรอกคะแนนกลางภาค "));
score2=int(input("กรุณากรอกคะแนนปลายภาค "));
score1, score2 คือตัวแปรสำหรับเก็บค่าคะแนนที่ผู้ใช้กรอกเข้ามา ซึ่งจะมีคะแนนกลางภาค และคะแนนปลายภาค int คือการแปลงข้อมูลที่ผู้ใช้กรอกเข้ามาไปเป็นตัวเลขจำนวนเต็ม input คือคำสั่งรับค่าข้อมูลจากผู้ใช้ทางคีย์บอร์ด และข้อความที่อยู่ในเครื่องหมาย "" คือคำอธิบายว่าให้ผู้ใช้ทราบว่าต้องกรอกอะไรเข้ามา

total=int(score1+score2);
total คือตัวแปรที่ประกาศขึ้นมาเพื่อเก็บข้อมูลที่ได้จากการคำนวณระหว่าง score1 บวกกันกับ score2 ซึ่งเป็นตัวแปรทั้งคู่ ส่วน int คือเป็นการแปลงค่าข้อมูลที่ได้จากการการคำนวณระหว่างตัวแปร score1 และ score2 แปลงไปเป็นตัวเลขจำนวนเต็มแล้วเก็บไว้ในตัวแปร total


print(total); แสดงผลการคำนวณในตัวแปร total ออกมาทางจอภาพ
print("คะแนนรวมของคุณคือ",total); แสดงผลการคำนวณในตัวแปร total ออกมาทางจอภาพเช่นเดียวกัน แต่จะมีข้อความว่า คะแนนรวมของคุณคือ แสดงขึ้นมาก่อนแล้วตามด้วยผลการคำนวณในตัวแปร total ตัวอย่างการแสดงผลเช่น   คะแนนรวมของคุณคือ 50
print("คะแนนรวมของคุณ ",name,"คือ ",total);  แสดงผลการคำนวณในตัวแปร total ออกมาทางจอภาพเช่นเดียวกัน แต่จะแสดงคำว่า คะแนนรวมของคุณ ตามด้วยตัวแปร name ซึ่งเก็บชื่อสกุล ตามด้วยคำว่า คือ และตามด้วยผลการคำนวณในตัวแปร total ตัวอย่างการแสดงผลเช่น สมมุติว่าเรากรอกข้อมูลเก็บในตัวแปร name=Teerapon  score1=25  score2=25 โปรแกรมจะแสดงผลดังนี้

คะแนนรวมของคุณ  Teerapon คือ 50 

นักเรียนสังเกตุไหมว่า ก่อนจบคำสั่งแต่ละคำสั่งจะมีเครื่องหมาย ; เซมิโคลอน ต่อท้ายทุกคำสั่ง เครื่องหมายนี้ เป็นเครื่องหมายจบคำสั่งแต่ละบรรทัดนั่นเอง หรือเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้เพื่อระบุการจบคำสั่ง โดยทุกคำสั่งในโปรแกรมจะต้องปิดท้ายด้วยเครื่องหมาย ; เสมอ

  • ฮิต: 819

Written by admin on 29 พฤศจิกายน 2566. Posted in วิชาวิทยาการคำนวณ.

หน่วยที่ 3 ตัวแปรและชนิดข้อมูลในภาษาไพธอน

ตัวแปรและชนิดข้อมูล

ตัวแปร คือ ชื่อที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อใช้เก็บค่าในหน่วยความจำสำหรับนำไปใช้งานในโปรแกรม ซึ่งอาจจะถูกใช้จากการรับข้อมูล เก็บค่าคงที่ ข้อความ หรือผลลัพธ์การทำงาน ในการกำหนดชื่อตัวแปรต้องเป็นชื่อที่ไม่ตรงกับคำสงวน ซึ่งคำสงวนจะกล่าวถึงในลำดับต่อไป

ตัวแปร ถ้าให้มองแบบเข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ชื่อที่เราตั้งขึ้นมา ตั้งชื่อว่าอะไรก็ได้ ตั้งขึ้นมาเพื่อเอาไว้เก็บข้อมูลต่าง ๆ ในโปรแกรม ตัวอย่างชื่อที่ตั้งขึ้นมาเองเช่น name ตั้งขึ้นมาเพื่อเอาไว้เก็บชื่อ tel ชื่อตัวแปรที่กำหนดขึ้นมาเพื่อเก็บเบอร์โทร เป็นต้น 

หลักการตั้งชื่อตัวแปร

การตั้งชื่อตัวแปรไม่ใช่ว่าจะตั้งชื่ออย่างไรก็ได้ เพราะเราอาจเผลอไปตั้งชื่อตัวแปรที่ตรงกับคำสงวน ที่โปรแกรมห้ามตั้งซ้ำกับคำสงวนอยู่แล้ว อาจทำให้โปรแกรมที่เขียนเกิด Error ได้ หลักการตั้งชื่อตัวแปรที่ถูกต้องในภาษาไพธอนมีดังนี้
  1. ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ แล้วตามด้วยตัวอักษรหรือตัวเลขใดๆก็ได้
  2. ห้ามเว้นช่องว่าง และห้ามใช้สัญลักษณ์พิเศษนอกเหนือจาก underscore "_" เท่านั้น
  3. ตัวอักษรของชื่อจะคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างอักษรตัวพิมพ์ใหญ่กับตัวพิมพ์เล็ก
  4. การตั้งชื่อมีข้อพึงระวังว่า จะต้องไม่้ซ้ำกับคำสงวน (Reserved word, Keyword)
  5. ควรจะตั้งชื่อโดยให้ชื่อนั้นมีสื่อความหมายให้เข้ากับข้อมูล สามารถอ่านและเข้าใจได้
  6. ห้ามใช้เครื่องหมายต่อไปนี้ในการตั้งชื่อตัวแปร !,@, #, $, %, ^, &, *, (, ), -, =, \, |, +, ~
  7. ตัวแปรที่มีพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็กผสมกันจะมีความหมายต่างกัน กับตัวพิมพ์เล็กเพียงอย่างเดียว

 ตัวอย่างการตั้งชื่อตัวแปร
 

teerapon

dog

cat

chada

chadatharn

chadaporn

CHADA

CHADATHARN

number

ChaDa

ChaDaTharn

Number

ChadA

ChadaTharN

NUMBER

eyes

Dek1

Uma_porn

EYES

DEK1

text

nam

NAM

TEXT

ชื่อตัวแปรเราจะกำหนดเป็นชื่ออะไรก็ได้ไม่บังคำ ขอเพียงอยู่ในกฏการตั้งชื่อตัวแปรดังที่กล่าวมาแล้ว และชื่อตัวแปรต้องไม่ตั้งซ้ำกับคำสงวนหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าคำหลัก keyword ซึ่งคำสงวนคือคำสั่งของภาษาไพธอนที่สงวนไว้ใช้โดยเฉพาะ เราห้ามตั้งซ้ำกับคำสงวนเด็ดขาด คำสงวนมีดังนี้

noneusevariable


วิธีการประกาศตัวแปรในภาษาไพธอนทำได้ดังนี้
ชื่อตัวแปร  = ค่าข้อมูลที่จะเก็บ  
number = 100;
เป็นการประกาศตัวแปรชื่อว่า number มีค่าข้อมูลเก็บไว้คือเลข 100

ชนิดข้อมูลของตัวแปร
เป็นการกำหนดประเภทข้อมูลของตัวแปรที่สร้างขึ้นมาว่า ข้อมูลนั้นมีลักษณะอย่างไร โดยชนิดข้อมูลที่มักจะใช้งานบ่อย ได่แก่ ข้อมูลชนิดตัวเลข จำนวนเต็ม จำนวนจริง อักขระ หรือข้อความ

  1.  ข้อมูลชนิดตัวอักษร (Character) คือ ข้อมูลที่เป็นรหัสแทนตัวอักษรหรือค่าอักขะ  
  2. ข้อมูลชนิดข้อความ(string) คือชนิดข้อมูลที่เก็บชุดตัวอักขะตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป                                                              
  3. ข้อมูลชนิดจำนวนเต็ม (Integer)  คือข้อมูลที่เป็นเลขจำนวนเต็ม  ได้แก่ จำนวนเต็มบวก จำนวนเต็มลบ ศูนย์ ใช้พื้นที่ในการเก็บ 2 ไบต์                   
  4. ข้อมูลชนิดเลขทศนิยม (Float) คือข้อมูลที่เป็นเลขทศนิยม ขนาด 4 ไบต์   

โดยใน Python นั้นมีให้เราเลือกเก็บมากมาย แต่ก็จะมีเพียง 6 ประเภทที่เราจะได้ใช้งานกันบ่อย ๆ ดังต่อไปนี้

ประเภทข้อมูลประเภทข้อมูลที่จัดเก็บตัวอย่างข้อมูลที่จัดเก็บได้
String ตัวอักษร "kumamon" "1112"
Boolean ค่าจริงหรือเท็จ True False
Float ค่าที่มีจุดทศนิยม 1.00 1.112 -0.999
Integer จำนวนเต็ม 2000 0 -1
List ลิสต์ [1, 0, -555]
Dictionary ดิกชันแนรี [{'a': '1112', 'b': 0, 'c': 555}]

 

ตัวอย่างการประกาศตัวแปรในภาษาไพธอน
วิธีที่ 1 ประกาศตัวแปรแบบไม่ระบุชนิดข้อมูล
    num = 100; 
วิธีที่ 2 การประกาศตัวแปรแบบระบุชนิดข้อมูลลงไปด้วย
    num=int(100);  num คือชื่อตัวแปร  int คือชนิดข้อมูลชนิดจำนวนเต็ม ย่อมาจาก integer และ 100 ในวงเล็บคือค่าข้อมูลของตัวแปร num
เวลาเราประกาศตัวแปรในภาษาไพธอนเราจะประกาศวิธีไหนก็ได้ ระบุชนิดข้อมูลหรือไม่ระบุก็ได้ แต่หากต้องการใช้ค่าตัวเลขในตัวแปรเพื่อคำนวณให้แม่นยำ เราควรระบุชนิดข้อมูลเหมือนวิธีที่ 2 เพื่อให้ตัวแปลภาษาของไพธอนรู้ว่าข้อมูลที่อยู่ภายในตัวแปรเป็นข้อมูลตัวเลข เพราะหากไม่รุบุชนิดข้อมูลลงไป ตัวแปรภาษาไพธอนจะมองข้อมูลในตัวแปรเป็นตัวอักษร ถึงแม้เราจะพิมพ์ตัวเลขลงไปก็ตาม

ตัวอย่างการประกาศตัวแปรชนิดตัวอักษรในภาษาไพธอน
    name="Teerapon";
name คือชื่อตัวแปร Teerapon คือค่าข้อมูลชนิดตัวอักษร ซึ่งต้องระบุค่าข้อมูลภายในเครื่องหมาย "" 
หรือเราจะประกาศตัวแปรแบบระบุชนิดข้อมูลเข้าไปด้วยก็ได้ ตัวอย่างเช่น
    name=str("teerapon");
name คือชื่อตัวแปร str คือชนิดข้อมูลชนิดตัวอักษรหรือสายอักขระ ย่อมาจาก string และท้ายสุดคือ teerapon ที่อยู่ภายใต้เครื่องหมาย "" คือค่าข้อมูลของตัวแปร name ที่เราประกาศขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า ไพธอนมีความยืดหยุ่น เราจะระบุชนิดข้อมูล หรือไม่ระบุชนิดข้อมูลลงไป โปรแกรมก็รันได้เหมือนเดิม

  • ฮิต: 692

Written by admin on 15 พฤศจิกายน 2566. Posted in วิชาวิทยาการคำนวณ.

หน่วยที่ 2 การแก้ปัญหาด้วยไพธอน ตอนที่ 2 เริ่มติดตั้งและใช้งานไพธอน IDLE

Python IDLE คืออะไร
Python IDLE เป็นเครื่องมือเขียนโปรแกรมของ Python เอง ซึ่งสามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้ฟรี และมีการพัฒนา Version ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในบทความนี้ได้จัดทำตอนพัฒนาถึงรุ่น 3.12.0 ในอนาคตอาจมีหน้าต่างหรือขั้นตอนการติดตั้งที่แตกต่างออกไป
เข้าไปดาวน์โหลด Python IDLE ได้ตามลิงค์ในหมายเลข 1 ที่ภาพด้านล่าง https://www.python.org/downloads/   คลิกเพื่อดาวน์โหลด เมื่อเข้าหน้าเว็บแล้วคลิกที่ Downloads ตามหมายเลข 2 และเลือกดาวน์โหลดในลิงค์ให้ตรงกับระบบปฏิบัติการที่ใช้อยู่ ในตัวอย่างที่จะแสดงต่อไปนี้ ผู้เขียนใช้ Windows 11 ในการติดตั้งใช้งาน ก็เลือกดาวน์โหลดสำหรับ Windows ตามหมายเลข 3 ในภาพด้านล่าง

inspt1

จากนั้นเมื่อการดาวน์โหลดเสร็จสิ้น ให้เข้าไปยังโฟลเดอร์ Downloads ในเครื่องของเรา จะเจอไฟล์ตัวติดตั้ง Python ดังภาพด้านล่าง หมายเลข 4
inspt2

ดับเบิลคลิกไฟล์ตัวติดตั้งที่ดาวน์โหลดมาตามภาพด้านล่าง หมายเลข5 แล้วคลิกเลือก Install Now ตามหมายเลข6
inspt3

ให้รอจนกว่าการติดตั้งโปรแกรมจะเสร็จสมบูรณ์ 
inspt4

เมื่อโปรแกรมติดตั้งครบ 100% ให้คลิกที่ปุ่ม Close ดังแสดงในภาพด้านล่าง หมายเลข 8
inspt5

เพื่อทดสอบว่าการติดตั้งเสร็จสมบูรณ์ และโปรแกรมสามารถรันได้หรือไม่ ให้คลิกที่ปุ่ม Start หรือกดปุ่ม Windows ดังแสดงในภาพด้านล่าง หมายเลข 9 พิมพ์คำค้นหาชื่อโปรแกรมลงไปคำว่า idle ดังแสดงในหมายเลข 10 หากการติดตั้งสมบูรณ์เราจะเจอโปรแกรม Python IDLE ดังแสดงในหมายเลข 11 คลิกเพื่อเปิดโปรแกรม นอกจากนี้เรายังสามารถค้นหาโปรแกรมได้จากช่องค้นหาของ Windows ได้ แต่ปกติแล้วเมื่อเราคลิกปุ่ม Start ของ Windows ขึ้นมาเราสามารถพิมพ์คำค้นหาลงไปได้เลย Windows จะพาเราไปหน้าค้นหาอัตโนมัติ
inspt6

เมื่อโปรแกรม Python IDLE ขึ้นมาแล้ว ลองพิมพ์คำสั่งตามภาพด้านล่างหมายเลข 12    print("Hello"); หากโปรแกรมแสดงคำว่า Hello ขึ้นมาตามหมายเลข 13 แสดงว่าโปรแกรมสามารถรันได้ปกติ
inspt7

เป็นยังไงกันบ้างครับ การติดตั้งเพื่อใช้งาน Python IDLE ไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะ ลำดับต่อจากนี้ไป จะเป็นการอธิบายเกี่ยวกับการใช้งาน Python IDLE เบื้องต้นนะครับ มาเริ่มกันเลย
การเขียนโปรแกรมใน Python IDLE นั้นโดยทั่วไปจะทำงานตามคำสั่งได้ใน 2 โหมด คือ
1. โหมดอิมมีเดียท (immediate mode) เป็นโหมดที่ผู้ใช้จะพิมพ์คำสั่งลงไปในส่วนที่เรียกว่าเชลล์ (shell) หรือคอนโซน (console) ทีละคำสั่ง และตัวแปลภาษาจะแปลคำสั่ง หากไม่มีข้อผิดพลาดจะทำงานตามคำสั่งดังกล่าวทันที แต่หากคำสั่งมีข้อผิดพลาด ก็จะแสดงข้อผิดพลาด (error message) แจ้งผู้ใช้งานทันทีเลย โหมดนี้อยู่ตรงไหนล่ะ โหมดนี้ก็คือหน้าแรกที่เราเห็นตอนเปิด Python IDLE ขึ้นมาแล้วเจอนั่นแหละคือโหมดอิมมีเดียทครับ ดูตัวอย่างได้จากภาพด้านบนที่มีหมายเลข 12 และ 13 เป็นตัวอย่างการเขียนโปรแกรมในโหมดอิมมีเดียท

2. โหมดสคริปต์ (script mode) ในโหมดนี้ผู้เขียนโปรแกรมต้องพิมพ์คำสั่งไพทอนหลายคำสั่งประกอบกันให้เป็นโปรแกรมที่สมบูรณ์ แล้วบันทึกเป็นไฟล์ไว้ก่อน เพื่อที่จะสั่งให้ตัวแปลภาษาไพทอนทำงานตามคำสั่งทั้งหมดในโปรแกรม ตั้งแต่คำสั่งแรกจนถึงคำสั่งสุดท้ายต่อเนื่องกันไป ถ้าหากต้องการตรวจสอบความถูกต้องของคำสั่งสามารถใช้โหมดอิมมีเดียทในการทดสอบได้ สงสัยไหมว่า โหมดนี้ อยู่ตรงไหน โหมดนี้คือโหมดที่กำลังจะแสดงให้ดูต่อไปนี้

ในรายวิชานี้ การเขียนโปรแกรมด้วย Python IDLE จะอธิบายเขียนในโหมดสคริปต์เป็นหลัก เพราะจะเขียนโปรแกรมให้เสร็จก่อน ค่อยรันคำสั่งทีเดียว การเข้าไปเขียนโปรแกรมในโหมดสคริปต์ ทำได้ดังนี้

การสร้างงานใหม่

1. สมมุติว่าตอนนี้เราเปิดโปรแกรม Python IDLE ขึ้นมาแล้ว เราจะเจอโหมดแรกในการเขียนโปรแกรมที่ชื่อว่าโหมดอิมมีเดียทใช่ไหมครับดังที่อธิบายไปแล้ว แต่ครูต้องการเขียนโปรแกรมในโหมดสคริปต์ ให้คลิกไปที่เมนู File (หมายเลข 1 ในภาพด้านล่าง) แล้วเลือก New File (หมายเลข 2) หรือกด Ctrl+N ที่คีย์บอร์ดก็ได้ จะสังเกตุว่าเราจะได้หน้าต่างเพิ่มขึ้นมาอีก 1 หน้าต่างเป็นหน้าขาวๆ ไม่มีอะไรเลย หน้าต่างขาว ๆ เปล่า ๆ (หมายเลข 3 ในภาพด้านล่าง) นี่แหละ คือหน้าต่างสำหรับเขียนโปรแกรมในโหมดสคริปต์ครับ ส่วนหน้าต่างที่ซ้อนอยู่ด้านหลังหน้าต่างขาว ๆ (หมายเลข 4 ในภาพด้านล่าง) คือโหมดอิมมีเดียทครับ ในขั้นตอนนี้เราสามารถปิดหน้าต่างโหมดอิมมีเดียท (หน้าต่างหมายเลข 4 ในภาพด้านล่าง) ปิดออกไปได้เลย หากเกะกะ หากว่าไม่เกะกะก็เปิดไว้ได้ เพราะเวลาเรารันโปรแกรม ยังไงหน้าต่างโหมดอิมมีเดียทก็ต้องแสดงขึ้นมาอีกเหมือนเดิม ทั้งสองโหมดน้ำ ทำงานร่วมกันตามหลักการที่ว่า เขียนโปรแกรมในโหมดสคริปต์ เมื่อสั่งรันโปรแกรม โปรแกรมจะรันในโหมดอิมมีเดียท
imd script1
imd script2

การตั้งค่าโปรแกรมให้เหมาะสมกับสายตา

เมื่อทราบโหมดต่างๆ กันไปแล้ว ต่อไปเราจะมาเรียนรู้วิธีตั้งค่าขนาดอักษรและแบบอักษรให้อ่านง่ายสบายสายตากันเถอะ ดูภาพด้านล่างประกอบนะครับ ให้คลิกที่ Options (A) เลือก Confligure IDLE (B)
config1
เลือกแบบอักษร Font (ลูกษรชี้ C) ตามที่ต้องการ เลือกขนาด Size (ลูกศรชี้ D) ที่ต้องการ จากนั้นกดปุ่ม OK เป็นอันเสร็จสิ้น
config2

ทดสอบเขียนโปรแกรมแรกเพื่อลองรันคำสั่งโปรแกรม
ชื่อโปรแกรม : โปรแกรมแนะนำตัว

ลองเขียนคำสั่งต่อไปนี้เข้าไปในโปรแกรมดังตัวอย่างในภาพ
testprogram1
คำสั่งที่เขียนในภาพ
print("สวัสดีครับ ผมชื่อครูธีรพล");
print("นามสกุล ปะโสทะกัง");
print("โปรแกรมนี้เป็นโปรแกรมแรก เขียนเพื่อทดสอบเฉยๆนะครับ");
print(" A ");
print(" B ");

    จากคำสั่งที่กล่าวมา เป็นคำสั่งแสดงข้อความออกทางจอภาพ นั่นคือคำสั่ง print เราสามารถใส่ข้อความใด ๆ ลงไปตรงกลางในช่วงเครื่องหมาย " " ได้เลย จากภาพตัวอักษรที่เราใส่ถ้าคำสั่งถูกต้องตัวอักษรจะเป็นสีเขียว ใส่อักษร A ก็แสดงตัว A ออกมา ใส่ข้อความอะไรเข้าไปก็จะแสดงข้อความนั้นออกมาทางจอภาพ

การบันทึกโปรแกรม

เข้าไปที่เมนู File เลือก Save As... หรือ Save ซึ่งแตกต่างกันดังนี้
    Save คลิกกรณีที่เคยบันทึกงานไปแล้ว เมื่อมีการเขียนคำสั่งเพิ่มหรือแก้ไขคำสั่งเพิ่มเติม เราจะกดปุ่มนี้ งานที่แก้ไขจะบันทึกทับเข้าไปที่ไฟล์เดิมที่เราเคยบันทึกไปแล้ว หากว่าเราไม่เคยบันทึกงานเลยสักครั้ง เราสามารถใช้ Save เพื่อบันทึกงานใหม่ได้เช่นกัน ถ้าไม่เคยบันทึกเลยโปรแกรมจะแสดงหน้าต่างให้บันทึกไฟล์เหมือนกับการใช้คำสั่ง Save As...
    Save As... ใช้กรณีบันทึกงานเป็นครั้งแรก หรือกรณีที่ต้องการบันทึกงานเป็นชื่อไฟล์ใหม่ เช่น หากเราเขียนโปรแกรมครั้งแรกยังไม่เคยบันทึกเลย เราใช้เมนูนี้เพื่อบันทึกและตั้งชื่อไฟล์ใหม่ แต่ถ้าหากว่าเราเปิดไฟล์งานที่เคยบันทึกไปแล้วอยู่ หากเรามาคลิกเมนูนี้ จะเป็นการบันทึกงานไปเป็นชื่ออื่นที่เราต้องการ โปรแกรมจะแสดงหน้าต่างให้ตั้งชื่องานใหม่ดังแสดงในหมายเลข 3 ,4 และ 5
save1

โปรแกรมจะแสดงหน้าต่างให้เลือกตั้งค่าการบันทึกงานดังแสดงในภาพด้านล่าง อธิบายรายละเอียดได้ดังต่อไปนี้
  หมายเลข 3 เลือกตำแหน่งที่ต้อการเก็บไฟล์โปรแกรมของเรา เลือกเก็บที่ Drive D หรือ Desktop ก็แล้วแต่สะดวก ในที่นี่ครูจะบันทึกไว้ที่ Desktop เพื่อให้หาเจอได้ง่าย แต่จะทำให้หน้าจอเรารกนิดหน่อย
  หมายเลข 4 เมื่อได้ตำแหน่งที่เก็บไฟล์ในหมายเลข 3 แล้ว ตรงหมายเลข 4 เป็นการกำหนดชื่อไฟล์โปรแกรม ตั้งชื่ออะไรก็ได้ที่เราจำได้ ทางที่ดีการตั้งชื่อควรสอดคล้องกับโปรแกรมที่เราเขียนด้วย เช่น โปรแกรมคำนวนภาษี อาจตั้งชื่อว่า program_vat โปรแกรมตัดเกรดตั้งชื่อว่า program_grader เป็นต้น
  หมายเลข 5 คลิกที่ปุ่ม Save เมื่อตั้งชื่อโปรแกรมแล้ว งานเราก็จะถูกบันทึกไว้ที่ตำแหน่งที่เราเลือกไว้ในหมายเลข 3 ครับ
save2

การรันคำสั่งโปรแกรมที่เขียนเสร็จแล้วเพื่อทดสอบ

คลิกที่เมนู Run แล้วเลือก Run Module หรือกดปุ่ม F5 ที่คีย์บอร์ดโปรแกรมจะทำการรันคำสั่งที่เราเขียน
howtorunpy1
โปรแกรมจะรันคำสั่งตามที่เราเขียนตามภาพด้านล่าง ผลรันอยู่ฝั่งขวามือ หากว่าคำสั่งที่เราเขียนมีข้อผิดพลาด คำสั่งไม่ถูกต้อง ผลรันจะแสดงตัวหนังสือสีแดงแจ้งให้ทราบว่าต้องแก้ไขคำสั่งใหม่ จากภาพที่แสดงด้านล่าง โปรแกรมสามารถแสดงผลรันได้ตามปกติ แสดงว่าคำสั่งที่เขียนนั้นถูกต้อง
howtorunpy2

  • ฮิต: 746

Written by admin on 10 พฤศจิกายน 2566. Posted in วิชาวิทยาการคำนวณ.

หน่วยที่ 2 การแก้ปัญหาด้วยไพธอน ตอนที่ 1 รู้จักภาษาไพธอนเบื้องต้น

รู้จักภาษาไพธอนเบื้องต้น

 Python คืออะไร

Python เป็นภาษาการเขียนโปรแกรมที่ใช้อย่างแพร่หลายในเว็บแอปพลิเคชัน การพัฒนาซอฟต์แวร์ วิทยาศาสตร์ข้อมูล และแมชชีนเลิร์นนิง (ML) นักพัฒนาใช้ Python เนื่องจากมีประสิทธิภาพ เรียนรู้ง่าย และสามารถทำงานบนแพลตฟอร์มต่างๆ ได้มากมาย ทั้งนี้ซอฟต์แวร์ Python สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี ผสานการทำงานร่วมกับระบบทุกประเภท และเพิ่มความเร็วในการพัฒนา

ภาษาโปรแกรม Python คือภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ระดับสูง โดยถูกออกแบบมาให้เป็นภาษาสคริปต์ที่อ่านง่าย  โดยตัดความซับซ้อนของโครงสร้างและไวยกรณ์ของภาษาออกไป ในส่วนของการแปลงชุดคำสั่งที่เราเขียนให้เป็นภาษาเครื่อง Python มีการทำงานแบบ Interpreter คือเป็นการแปลชุดคำสั่งทีละบรรทัด เพื่อป้อนเข้าสู่หน่วยประมวลผลให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามที่เราต้องการ นอกจากนั้นภาษาโปรแกรม Python ยังสามารถนำไปใช้ในการเขียนโปรแกรมได้หลากหลายประเภท โดยไม่ได้จำกัดอยู่ที่งานเฉพาะทางใดทางหนึ่ง (General-purpose language) จึงทำให้มีการนำไปใช้กันแพร่หลายในหลายองค์กรใหญ่ระดับโลก เช่น Google, YouTube, Instagram, Dropbox และ NASA เป็นต้น 

Python มีข้อดีใดบ้าง

ข้อดีต่างๆ ของ Python ได้แก่

  • นักพัฒนาสามารถอ่านและทำความเข้าใจโปรแกรม Python ได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากมีไวยากรณ์พื้นฐานเหมือนภาษาอังกฤษ 
  • Python ทำให้นักพัฒนาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากพวกเขาสามารถเขียนโปรแกรม Python ได้โดยใช้โค้ดน้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกับภาษาอื่นๆ อีกมากมาย
  • Python มีไลบรารีมาตรฐานขนาดใหญ่ที่มีโค้ดที่ใช้ซ้ำได้สำหรับเกือบทุกงาน ด้วยเหตุนี้ นักพัฒนาจึงไม่ต้องเขียนโค้ดขึ้นใหม่ทั้งหมด
  • โดยนักพัฒนาสามารถใช้ Python ร่วมกับภาษาการเขียนโปรแกรมยอดนิยมอื่นๆ เช่น Java, C และ C++ ได้อย่างง่ายดาย
  • ทั้งนี้ชุมชน Python ในปัจจุบันมีนักพัฒนาที่พร้อมให้การสนับสนุนหลายล้านคนทั่วโลก หากประสบปัญหา คุณสามารถรับการสนับสนุนอย่างรวดเร็วได้จากชุมชน
  • โดยมีแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากมายบนอินเทอร์เน็ต หากคุณต้องการเรียนรู้ Python ตัวอย่างเช่น คุณสามารถค้นหาวิดีโอ บทแนะนำสอนการใช้งาน เอกสารประกอบ และคู่มือนักพัฒนาได้อย่างง่ายดาย
  • Python สามารถใช้งานได้บนระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ต่างๆ เช่น Windows, macOS, Linux และ Unix
 

Python มีประวัติความเป็นมาอย่างไร

Guido Van Rossum โปรแกรมเมอร์คอมพิวเตอร์ในเนเธอร์แลนด์เป็นผู้สร้าง Python โดยเขาเริ่มต้นในปี 1989 ที่ Centrum Wiskunde & Informatica (CWI) ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงโครงการงานอดิเรกแก้เหงาในช่วงคริสต์มาส ทั้งนี้ชื่อของภาษาได้รับแรงบันดาลใจจากรายการโทรทัศน์ Monty Python's Flying Circus ของช่อง BBC TV เนื่องจาก Guido Van Rossum เป็นแฟนตัวยงของรายการดังกล่าว 

ประวัติของ Python เวอร์ชันต่างๆ

  • Guido Van Rossum เผยแพร่โค้ด Python เวอร์ชันแรก (เวอร์ชัน 0.9.0) ในปี 1991 โดยมีคุณสมบัติต่างๆ ที่ดีอยู่แล้ว เช่น ประเภทข้อมูลและฟังก์ชันบางส่วนสำหรับการจัดการข้อผิดพลาด 
  • Python 1.0 ได้รับการนำออกมาใช้ในปี 1994 พร้อมฟังก์ชันใหม่เพื่อประมวลผลรายการข้อมูลได้อย่างง่ายดาย เช่น Map, Filter และ Reduce
  • ในขณะที่ Python 2.0 ได้รับการนำออกมาใช้เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2000 พร้อมคุณสมบัติใหม่ที่เป็นประโยชน์สำหรับโปรแกรมเมอร์ เช่น การรองรับอักขระ Unicode และวิธีที่สั้นกว่าในการวนลูปรายการ
  • เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2008 ได้มีการนำ Python 3.0 ออกมาใช้ ซึ่งมีคุณสมบัติต่างๆ เช่น ฟังก์ชันการพิมพ์และการสนับสนุนเพิ่มเติมสำหรับการแบ่งหมายเลขและการจัดการข้อผิดพลาด 
  • ปัจจุบัน Python ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นักเรียนสามารถดาวน์โหลดไพธอนรุ่นปัจจุบันและรุ่นอื่นๆได้จากลิงค์ผู้พัฒนา ดูรุ่น Python คลิกที่นี่

Python มีคุณสมบัติใดบ้าง

คุณสมบัติต่อไปนี้ทำให้ภาษาการเขียนโปรแกรม Python มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร:

ภาษาที่แปลผลแล้ว

Python เป็นภาษาที่แปลผลแล้ว ซึ่งหมายความว่าสามารถเรียกใช้โค้ดทีละบรรทัดได้โดยตรง หากมีข้อผิดพลาดในโค้ดโปรแกรม ก็จะหยุดทำงานทันที ดังนั้นโปรแกรมเมอร์จึงสามารถค้นหาข้อผิดพลาดในโค้ดได้อย่างรวดเร็ว

ภาษาที่ใช้งานง่าย

Python ใช้คำที่เหมือนในภาษาอังกฤษ ซึ่งแตกต่างจากภาษาการเขียนโปรแกรมอื่นๆ เนื่องจาก Python ไม่ใช้วงเล็บปีกกา แต่จะใช้การเยื้องแทน 

ภาษาที่ระบุประเภทแบบไดนามิก

โปรแกรมเมอร์ไม่ต้องระบุประเภทตัวแปรเมื่อเขียนโค้ดเนื่องจาก Python จะกำหนดไว้ที่รันไทม์ ด้วยเหตุนี้ คุณจึงสามารถเขียนโปรแกรม Python ได้รวดเร็วขึ้น

ภาษาระดับสูง

Python มีความใกล้เคียงกับภาษามนุษย์มากกว่าภาษาการเขียนโปรแกรมอื่นๆ ดังนั้นโปรแกรมเมอร์จึงไม่ต้องกังวลกับฟังก์ชันการทำงานพื้นฐานต่างๆ เช่น สถาปัตยกรรมและการจัดการหน่วยความจำ

ภาษาเชิงอ็อบเจกต์

Python ถือว่าทุกสิ่งเป็นอ็อบเจกต์ แต่ก็ยังรองรับการเขียนโปรแกรมประเภทอื่นๆ ด้วย เช่น การเขียนโปรแกรมเชิงโครงสร้างและเชิงฟังก์ชัน

ไลบรารี Python คืออะไร

ไลบรารีคือชุดของโค้ดที่ใช้บ่อยซึ่งนักพัฒนาสามารถใช้ในโปรแกรม Python เพื่อหลีกเลี่ยงการเขียนโค้ดขึ้นใหม่ทั้งหมด ตามค่าเริ่มต้นแล้ว Python จะมาพร้อมกับไลบรารีมาตรฐาน ซึ่งมีฟังก์ชันที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้มากมาย นอกจากนี้ยังมีไลบรารี Python มากกว่า 137,000 รายการสำหรับการประยุกต์ใช้ต่างๆ รวมถึงการพัฒนาเว็บ วิทยาศาสตร์ข้อมูล และแมชชีนเลิร์นนิง (ML)

ไลบรารี Python ยอดนิยมคืออะไร

Matplotlib

นักพัฒนาซอฟต์แวร์ใช้ Matplotlib เพื่อลงจุดข้อมูลในกราฟิกสองมิติและสามมิติ (2D และ 3D) คุณภาพสูง ซึ่งมักจะใช้ในงานทางวิทยาศาสตร์ Matplotlib ช่วยให้คุณสามารถแสดงข้อมูลเป็นภาพโดยแสดงผลในแผนภูมิต่างๆ เช่น แผนภูมิแท่งและแผนภูมิเส้น คุณยังสามารถลงจุดแผนภูมิได้หลายรายการพร้อมกัน และกราฟิกสามารถใช้งานได้ในทุกแพลตฟอร์มอีกด้วย

Pandas

Pandas มีโครงสร้างข้อมูลที่ปรับให้เหมาะสมและยืดหยุ่น ซึ่งคุณสามารถใช้เพื่อจัดการชุดข้อมูลเวลาและข้อมูลที่มีโครงสร้าง เช่น ตารางและอาร์เรย์ ตัวอย่างเช่น คุณสามารถใช้ Pandas เพื่ออ่าน เขียน ผสานรวม กรอง และจัดกลุ่มข้อมูลได้ หลายคนจึงใช้สำหรับงานด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และ ML

NumPy

NumPy เป็นไลบรารียอดนิยมที่นักพัฒนาใช้เพื่อสร้างและจัดการอาร์เรย์ จัดการรูปร่างเชิงตรรกะ และดำเนินการคำนวณพีชคณิตเชิงเส้นได้อย่างง่ายดาย โดย NumPy รองรับการทำงานร่วมกับภาษาต่างๆ มากมาย เช่น C และ C++

คำขอ

ไลบรารีคำขอมีฟังก์ชันที่เป็นประโยชน์ที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาเว็บ โดยคุณสามารถใช้ไลบรารีนี้เพื่อส่งคำขอ HTTP, เพิ่มส่วนหัว, เพิ่มพารามิเตอร์ URL, เพิ่มข้อมูล และทำงานอื่นๆ อีกมากมายเมื่อสื่อสารกับเว็บแอปพลิเคชัน 

OpenCV-Python

OpenCV-Python เป็นไลบรารีที่นักพัฒนาใช้ในการประมวลผลรูปภาพสำหรับการประยุกต์ใช้เชิงคอมพิวเตอร์วิทัศน์ ซึ่งมีฟังก์ชันมากมายสำหรับงานประมวลผลภาพ เช่น การอ่านและเขียนรูปภาพพร้อมกัน, การสร้างสภาพแวดล้อม 3 มิติจาก 2 มิติ และการบันทึกภาพและวิเคราะห์ภาพจากวิดีโอ

Keras

Keras เป็นไลบรารีนิวรัลเน็ตเวิร์กเชิงลึกของ Python ที่รองรับการประมวลผลข้อมูล การแสดงภาพข้อมูล และอื่นๆ อีกมากมายได้อย่างยอดเยี่ยม Keras รองรับนิวรัลเน็ตเวิร์กมากมาย ซึ่งมีโครงสร้างแบบโมดูลที่ให้ความยืดหยุ่นในการเขียนแอปพลิเคชันด้านนวัตกรรม

เฟรมเวิร์ก Python คืออะไร

เฟรมเวิร์ก Python คือชุดข้อมูลของแพคเกจและโมดูล โดยโมดูลคือชุดของโค้ดที่เกี่ยวข้อง และแพคเกจคือชุดของโมดูล ทั้งนี้นักพัฒนาสามารถใช้เฟรมเวิร์ก Python เพื่อสร้างแอปพลิเคชัน Python ได้รวดเร็วขึ้น เนื่องจากไม่ต้องกังวลกับรายละเอียดระดับต่ำต่างๆ เช่น วิธีการที่การสื่อสารเกิดขึ้นในเว็บแอปพลิเคชัน หรือวิธีการที่ Python จะทำให้โปรแกรมเร็วขึ้น Python มีเฟรมเวิร์ก 2 ประเภท ได้แก่ 

  • เฟรมเวิร์กแบบฟูลสแตกมีเกือบทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับการสร้างแอปพลิเคชันขนาดใหญ่
  • ไมโครเฟรมเวิร์กเป็นเฟรมเวิร์กพื้นฐานที่มีฟังก์ชันการทำงานน้อยที่สุดสำหรับการสร้างแอปพลิเคชัน Python อย่างง่าย นอกจากนี้ยังมีส่วนขยายหากแอปพลิเคชันต้องการฟังก์ชันที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นอีกด้วย

เฟรมเวิร์ก Python ยอดนิยมคืออะไร

นักพัฒนาสามารถใช้เฟรมเวิร์ก Python หลายแบบเพื่อให้การพัฒนามีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงเฟรมเวิร์กต่างๆ ดังต่อไปนี้:

Django

Django เป็นหนึ่งในเฟรมเวิร์กเว็บ Python แบบฟูลสแตกที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุดสำหรับการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ ซึ่งมีคุณสมบัติที่มีประโยชน์หลายอย่าง ซึ่งรวมถึงเว็บเซิร์ฟเวอร์สำหรับการพัฒนาและทดสอบ โปรแกรมเทมเพลตสำหรับสร้างฟรอนต์เอนด์ของเว็บไซต์ และกลไกต่างๆ ด้านความปลอดภัย

Flask

Flask เป็นไมโครเฟรมเวิร์กสำหรับการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันขนาดเล็ก โดยคุณสมบัติของ Flask ได้แก่ การสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากชุมชน เอกสารประกอบที่ให้รายละเอียดครบถ้วน โปรแกรมเทมเพลต การทดสอบหน่วย และเว็บเซิร์ฟเวอร์ในตัว นอกจากนี้ยังมีส่วนขยายสำหรับการสนับสนุนการตรวจสอบความถูกต้อง เลเยอร์การแมปฐานข้อมูล และความปลอดภัยของเว็บอีกด้วย

TurboGears

TurboGears เป็นเฟรมเวิร์กที่ออกแบบมาเพื่อสร้างเว็บแอปพลิเคชันได้เร็วและง่ายขึ้น และคุณสมบัติยอดนิยมบางส่วนของ TurboGears ได้แก่ 

  • โครงสร้างตารางฐานข้อมูลเฉพาะ
  • เครื่องมือสำหรับสร้างและจัดการโครงการ
  • โปรแกรมเทมเพลตเพื่อสร้างฐานข้อมูล
  • โปรแกรมเทมเพลตเพื่อสร้างฟรอนต์เอนด์
  • กลไกในการดูแลความปลอดภัยของเว็บ

Apache MXNet

Apache MXNet เป็นเฟรมเวิร์กดีปเลิร์นนิงที่รวดเร็ว ยืดหยุ่น และปรับขนาดได้ ซึ่งนักพัฒนาใช้เพื่อสร้างต้นแบบการวิจัยและแอปพลิเคชันดีปเลิร์นนิง ซึ่งรองรับภาษาการเขียนโปรแกรมหลายภาษา รวมถึง Java, C++, R และ Perl โดยมีชุดเครื่องมือและไลบรารีที่หลากหลายเพื่อรองรับการพัฒนา ตัวอย่างเช่น คุณสามารถค้นหาหนังสือแมชชีนเลิร์นนิง (ML) เชิงโต้ตอบ, ชุดเครื่องมือคอมพิวเตอร์วิทัศน์ และโมเดลดีปเลิร์นนิงสำหรับการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing หรือ NLP) ซึ่งประมวลผลภาษาธรรมชาติต่างๆ เช่น ข้อความและคำพูด

PyTorch

PyTorch เป็นเฟรมเวิร์กสำหรับ ML ที่สร้างขึ้นบนไลบรารี Torch ซึ่งเป็นไลบรารี ML แบบโอเพนซอร์สอีกแบบหนึ่ง  โดยนักพัฒนาซอฟต์แวร์ใช้ PyTorch สำหรับแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น NLP, วิทยาการหุ่นยนต์ และคอมพิวเตอร์วิทัศน์ โดยค้นหาข้อมูลที่มีความหมายในรูปภาพและวิดีโอ พวกเขายังใช้ PyTorch เพื่อเรียกใช้แอปพลิเคชันเหล่านั้นใน CPU และ GPU อีกด้วย

Python IDE คืออะไร

สิ่งแวดล้อมสำหรับการพัฒนาแบบเบ็ดเสร็จ (Integrated Development Environment หรือ IDE) คือซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้นักพัฒนามีเครื่องมือที่จำเป็นในการเขียน แก้ไข ทดสอบ และดีบักโค้ดในที่เดียว 

Python IDE ยอดนิยมคืออะไร

PyCharm

JetBrains ซึ่งเป็นบริษัทจากเช็กที่พัฒนาเครื่องมือซอฟต์แวร์คือผู้สร้าง PyCharm ซึ่งมีรุ่นฟรีสำหรับชุมชนที่เหมาะสำหรับแอปพลิเคชัน Python ขนาดเล็ก และรุ่นมืออาชีพแบบมีค่าใช้จ่ายที่เหมาะสำหรับการสร้างแอปพลิเคชัน Python ขนาดใหญ่ พร้อมชุดคุณสมบัติทั้งหมดดังต่อไปนี้:

  • การเติมโค้ดที่เหลือและการตรวจสอบโค้ดอัตโนมัติ
  • การจัดการข้อผิดพลาดและการแก้ไขด่วน
  • การทำความสะอาดโค้ดโดยไม่เปลี่ยนฟังก์ชันการทำงาน
  • การสนับสนุนเฟรมเวิร์กของเว็บแอปพลิเคชัน เช่น Django และ Flask
  • การสนับสนุนภาษาการเขียนโปรแกรมอื่นๆ เช่น JavaScript, CoffeeScript, TypeScript, AngularJS และ Node
  • เครื่องมือและไลบรารีทางวิทยาศาสตร์ เช่น Matplotlib และ NumPy
  • ความสามารถในการเรียกใช้ แก้จุดบกพร่อง ทดสอบ และปรับใช้แอปพลิเคชันในเครื่องเสมือนระยะไกล
  • ดีบักเกอร์เพื่อค้นหาข้อผิดพลาดในโค้ด ตัวสร้างโปรไฟล์เพื่อระบุปัญหาด้านประสิทธิภาพในโค้ด และตัวดำเนินการทดสอบเพื่อเรียกใช้การทดสอบหน่วย
  • การรองรับฐานข้อมูลต่างๆ

IDLE

สิ่งแวดล้อมสำหรับการพัฒนาและการเรียนรู้แบบเบ็ดเสร็จ (Integrated Development and Learning Environment หรือ IDLE) คือ Python IDE ที่ติดตั้งตามค่าเริ่มต้น ซึ่งได้รับการพัฒนาด้วย Python เท่านั้นโดยใช้ชุดเครื่องมือ Tkinter GUI และมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้:
 
  • ใช้งานได้กับระบบปฏิบัติการมากมาย เช่น Windows, Unix และ macOS
  • มีหน้าต่างเชลล์เพื่อเรียกใช้คำสั่งและแสดงเอาต์พุต
  • นำเสนอตัวแก้ไขข้อความแบบหลายหน้าต่างที่มีการเน้นไวยากรณ์ของโค้ดและการเติมโค้ดที่เหลืออัตโนมัติ
  • มีดีบักเกอร์ของตัวเอง 

Spyder

Spyder เป็น IDE แบบโอเพนซอร์สที่นักวิทยาศาสตร์และนักวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากใช้ ซึ่งมอบประสบการณ์การพัฒนาที่ครอบคลุมพร้อมคุณสมบัติต่างๆ สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล การแสดงภาพข้อมูล และการดีบักขั้นสูง นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้:

  • ตัวแก้ไขโค้ดที่สมบูรณ์ซึ่งรองรับหลายภาษา
  • IPython Console แบบโต้ตอบ
  • ดีบักเกอร์พื้นฐาน
  • ไลบรารีทางวิทยาศาสตร์ เช่น Matplotlib, SciPy และ NumPy
  • ความสามารถในการสำรวจตัวแปรในโค้ด
  • ความสามารถในการดูเอกสารประกอบแบบเรียลไทม์

Atom

Atom เป็นตัวแก้ไขฟรีที่พัฒนาโดย GitHub ซึ่งรองรับการเขียนโค้ดในภาษาการเขียนโปรแกรมหลายภาษา รวมถึง Python เมื่อใช้ Atom นักพัฒนาจึงสามารถทำงานได้โดยตรงร่วมกับ GitHub ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่คุณสามารถบันทึกโค้ดได้จากส่วนกลาง โดย Atom มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ ได้แก่

  • ความสามารถในการใช้ร่วมกับระบบปฏิบัติการหลายระบบ 
  • การติดตั้งหรือการสร้างแพคเกจใหม่ได้ง่าย
  • การเติมโค้ดที่เหลืออัตโนมัติได้เร็วขึ้น
  • ความสามารถในการค้นหาไฟล์และโครงการ
  • การปรับแต่งอินเทอร์เฟซได้ง่าย

Python SDK คืออะไร

ชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDK) คือชุดเครื่องมือด้านซอฟต์แวร์ที่นักพัฒนาสามารถใช้เพื่อสร้างแอปพลิเคชันซอฟต์แวร์ในภาษาที่กำหนด SDK ส่วนใหญ่มีความเฉพาะเจาะจงสำหรับแพลตฟอร์มฮาร์ดแวร์และระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน โดย Python SDK มีเครื่องมือมากมาย เช่น ไลบรารี ตัวอย่างโค้ด และคู่มือสำหรับนักพัฒนา ซึ่งนักพัฒนาพบว่ามีประโยชน์เมื่อต้องเขียนแอปพลิเคชัน

Boto3 ใน Python คืออะไร

Boto3 เป็น AWS SDK สำหรับ Python โดยคุณสามารถใช้เพื่อสร้าง กำหนดค่า และจัดการบริการของ AWS เช่น Amazon Elastic Compute Cloud (EC2), Amazon Simple Storage Service (S3) และ Amazon DynamoDB Boto3 ยังมี API สองประเภท ได้แก่ API ระดับต่ำ และ API ทรัพยากรสำหรับนักพัฒนา

AWS PyCharm คืออะไร

AWS Toolkit for PyCharm เป็นปลั๊กอินสำหรับ PyCharm IDE ที่ช่วยให้สามารถสร้าง ดีบัก และปรับใช้แอปพลิเคชัน Python บน AWS ได้ง่ายขึ้น การใช้ AWS Toolkit for PyCharm ทำให้นักพัฒนาสามารถเริ่มต้นการพัฒนา Python ได้อย่างง่ายดาย โดยมีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์หลายอย่างสำหรับนักพัฒนา ซึ่งรวมถึงคู่มือเริ่มต้นใช้งาน การดีบักอย่างเป็นขั้นตอน และการปรับใช้ IDE

แหล่งที่มา : https://aws.amazon.com/th/what-is/python/

แบบฝึกหัดหลังเรียน Google Forms

  • ฮิต: 1195

Written by admin on 10 พฤศจิกายน 2566. Posted in วิชาวิทยาการคำนวณ.

หน่วยที่ 1 แนวคิดเชิงคำนวณ Computational thinking

แนวคิดเชิงคำนวณ (Computational thinking) เป็นกระบวนการวิเคราะห์ปัญหา เพื่อให้ได้แนวทางการหาคำตอบอย่างเป็นขั้นตอนที่สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเรียกว่า “อัลกอริทึม” 
     (Computational Thinking) คือ การสอนที่เน้นกระบวนการแก้ปัญหาในหลากหลายลักษณะ เช่น การจัดลำดับเชิงตรรกศาสตร์ การวิเคราะห์ข้อมูล โค้ดดิ้ง และการสร้างสรรค์วิธีแก้ปัญหาไปทีละขั้นทีละตอน(อัลกอริทึ่ม) รวมทั้งการย่อยปัญหาที่ช่วยให้รับมือกับปัญหาที่ซับซ้อนหรือมีลักษณะเป็นคำถามปลายเปิดได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งยังรวมไปถึงการบูรณาการแนวคิดหรือทักษะแนวคิดเชิงคำนวณกับสาขาวิชาต่าง ๆเพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้

แนวคิดเชิงคำนวณ (Computational Thinking)  มีประโยชน์อย่างไร

แนวคิดเชิงคำนวณมีประโยชน์อย่างไร? 

ประโยชน์ของการสอนโดยใช้แนวคิดเชิงคํานวณคือ การให้ผู้เรียนมีวิธีคิดที่เกิดกระบวนการแก้ปัญหาโดยสามารถวิเคราะห์และคิดอย่างมีตรรกะ เป็นระบบและสร้างสรรค์ รวมทั้งสามารถนำวิธีคิดเชิงคำนวณไปปรับใช้แก้ไขปัญหาในสาขาวิชาต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวาง เป็นประโยชน์ในการต่อยอดองค์ความรู้ต่างๆต่อไป

กระบวนแนวคิดเชิงคำนวณ (Computational Thinking)

องค์ประกอบแนวคิดเชิงคํานวณที่สำคัญมีอยู่ 4 ส่วนที่สำคัญและเป็นหลักการพื้นฐานในการเรียนรู้แนวคิดเชิงคํานวณเพื่อให้เกิดการเข้าใจปัญหาและนำไปวิเคราะห์ด้วยวิธีที่เหมาะสม ซึ่งองค์ประกอบต่าง ๆ ที่สามารถกระตุ้นให้ผู้ศึกษาเกิดแนวคิดเชิงคำนวณได้มี ดังนี้

Decomposition (การย่อยปัญหา) 

การย่อยปัญหา หรือ decomposition คือ การทำให้ปัญหาที่ซับซ้อนย่อยออกเป็นส่วนเล็กๆ เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการและแก้ปัญหา เช่น การเขียนโปรแกรมแยกเป็นส่วน ๆ แยกเป็นแพ็กเกจ แยกเป็นโมดูล หรือมองเป็น layer หรือการแบ่งปัญหาเมื่อจะแก้ไขอุปกรณ์ด้วยการแยกการทำงานแต่ละส่วนออกแล้วสังเกตและทดสอบการทำงานของแต่ละองค์ประกอบ จะทำให้เข้าใจได้ง่ายกว่าการวิเคราะห์จากระบบใหญ่ที่ซับซ้อน

ตัวอย่างเช่น ปัญหาคือ เราได้รับมอบหมายให้สร้างบ้าน 1 หลัง เมื่อฟังปัญหาแล้วมองว่า ยากมาก สร้างบ้านต้องทำยังไง จับต้นชนปลายไม่ถูก เมื่อเราวิเคราะห์ปัญหานี้แล้วว่าสามารถแยกออกเป็นส่วนย่อยได้ว่า บ้าน ประกอบด้วย ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น ห้องครัว ฯลฯ แล้วเราแบ่งงานออกแบบและสร้างไปทีละห้อง เมื่อทำเสร็จแล้วจะเห็นว่าเราได้ทำการสร้างบ้านได้แล้วนั่นเอง การบอกให้สร้างห้องนอน (และห้องอื่น ๆ) ฟังดูแล้วเรียบง่ายและซับซ้อนน้อยกว่าสร้างบ้านอย่างมาก

Pattern Recognition (การจดจำรูปแบบ)

การจดจำรูปแบบ หรือ pattern recognition คือ เมื่อเราย่อยปัญหาออกเป็นส่วนเล็ก ๆ ขั้นตอนต่อไปคือการหารูปแบบหรือลักษณะที่เหมือนกันของปัญหาเล็ก ๆ เหล่านั้นที่ถูกย่อยออกมา หากมีรูปแบบของปัญหาที่คล้ายกันสามารถนำวิธีการแก้ปัญหานั้นมาประยุกต์ใช้ และพิจารณารูปแบบปัญหาย่อยซึ่งอยู่ภายในปัญหาเดียวกันว่ามีส่วนใดที่เหมือนกัน เพื่อใช้วิธีการแก้ปัญหาเดียวกันได้ ทำให้จัดการกับปัญหาได้ง่ายขึ้น และส่งผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

Abstraction (ความคิดด้านนามธรรม)

การคิดเชิงนามธรรม หรือ Abstraction คือ องค์ประกอบแนวคิดเชิงคํานวณที่เป็นกระบวนการคัดแยกคุณลักษณะที่สำคัญออกจากรายละเอียดปลีกย่อย ในปัญหาหรืองานที่กำลังพิจารณา เพื่อให้ได้ข้อมูลที่จำเป็นและเพียงพอในการแก้ปัญหา กล่าวอีกอย่างก็คือการแยกรายละเอียดที่สำคัญและจำเป็นต่อการแก้ปัญหาออกจากรายละเอียดที่ไม่จำเป็น ซึ่งรวมไปถึงการแทนกลุ่มของปัญหา ขั้นตอน หรือกระบวนการที่มีรายละเอียดปลีกย่อยหลายขั้นตอนด้วยขั้นตอนใหม่เพียงขั้นตอนเดียว

Algorithm Design (การออกแบบอัลกอริทึ่ม)

การออกแบบอัลกอริทึ่ม หรือ Algorithm Design คือ การพัฒนากระบวนการหาคำตอบให้เป็นขั้นตอนที่บุคคลหรือคอมพิวเตอร์สามารถนำไปปฏิบัติตามเพื่อแก้ปัญหาได้ อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาแนวทางแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และจากนั้นดำเนินตามทีละขั้นตอนในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบตามแผนที่วางไว้ 

ในการแก้ปัญหาแต่ละอย่างอาจไม่จำเป็นที่จะต้องใช้องค์ประกอบแนวคิดเชิงคำนวณอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่จำเป็นที่จะต้องใช้องค์ประกอบทั้งหมด ทั้งนี้ทั้งนั้นอยู่ที่ปัญหาที่เราได้พบว่าควรจะแก้อย่างไร ควรใช้องค์ประกอบใดบ้างในการแก้ไขจึงจะเหมาะสมที่สุด เช่น หากเราประสบปัญหาว่ารถมีปัญหากลางทางขณะกำลังเดินทางไกล 

เราสามารถใช้องค์ประกอบการจดจำรูปแบบ เพื่อเทียบว่ารถของเราเคยเป็นแบบนี้มั้ย ถ้าเคยเป็นแล้วแก้ปัญหาอย่างไร หรือหากไม่เคยประสบด้วยตัวเองก็ต้องหาข้อมูลว่ามีใครเคยมีปัญหาแบบนี้และหาวิธีแก้ไขด้วยตนเองเบื้องต้น 

นอกจากนี้ยังสามารถใช้องค์ประกอบความคิดด้านนามธรรมได้โดยหาข้อมูลว่ารถของเรามีอาการแบบนี้เกิดจาก ส่วนไหนของรถมีปัญหา เราจึงจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปกับส่วนอื่นๆที่ไม่มีปัญหา

สรุปแนวคิดเชิงคำนวณ หลักการเรียนรู้รูปแบบใหม่

จากทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปแนวคิดเชิงคำนวณ (Computational thinking) ได้ว่า เป็นพื้นฐานของการคิดแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่สามารถนำไปประยุกต์ในการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน โดยความท้าทายหลักของแนวคิดเชิงคำนวณอยู่ที่การออกแบบกระบวนการแก้ปัญหาที่คลุมเครือให้เป็นขั้นตอนที่ชัดเจนมากพอที่จะนำไปแก้ปัญหาได้ โดยส่วนใหญ่มักจะนำไปบูรณาการกับวิชา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี

โดยแนวคิดเชิงคํานวณ มีองค์ประกอบ 4 ส่วน ได้แก่ Decomposition (การย่อยปัญหา) Pattern Recognition (การจดจำรูปแบบ) Abstraction (ความคิดด้านนามธรรม) Algorithm Design (การออกแบบอัลกอริทึ่ม) ที่เป็นองค์ประกอบหลักในการแก้ไขปัญหาตามหลักการวิทยาการคำนวณ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน

คำถามชวนคิด การเขียนโปรแกรมใช้หลักการใดของแนวคิดเชิงคำนวณ

หากเราจะมาตั้งคำถามให้ชวนคิดกันเล่นๆว่าการเขียนโปรแกรมใช้หลักการใดของแนวคิดเชิงคำนวณบ้าง ซึ่งการเขียนโปรแกรมนั้นเป็นตัวเลือกที่คนในยุคใหม่นี้เลือกที่จะฝึกให้เป็นทักษะติดตัวเพิ่มเติม เรียกได้ว่าเป็นตัวเลือกที่มาควบคู่กับการฝึกภาษาที่สามกันเลยทีเดียว เนื่องจากโลกในปัจจุบันมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ผู้คนยุคใหม่จึงเลือกที่จะฝึกการเรียนเขียนโปรแกรมหรือฝึกภาษาคอมพิวเตอร์กันนั่นเอง
ในคำตอบของคำถามที่ว่า การเขียนโปรแกรมใช้หลักการใดของแนวคิดเชิงคำนวณ? นั่นก็คือ การเขียนโปรแกรมนั้นใช้หลักการทุกอย่างของแนวคิดเชิงคำนวณ อีกทั้งยังจำเป็นที่จะต้องใช้องค์ประกอบต่างๆอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเมื่อระบุปัญหาหรือตั้งโจทย์ได้แล้วนั้น ก็จะเริ่มเข้าสู่วิธีคิดโดยใช้แนวคิดเชิงคำนวณทันที

โดยเริ่มตั้งแต่การย่อยปัญหาต่าง ๆ จากปัญหาใหญ่ออกมา จากนั้นจึงมาวิเคราะห์ลักษณะและหาความเหมือนและต่างกันของแต่ละปัญหาย่อยซึ่งอยู่ในขั้นตอนของการจดจำรูปแบบ นำมาแยกรายละเอียดที่สำคัญและจำเป็นต่อการแก้ปัญหาออกจากรายละเอียดที่ไม่จำเป็นซึ่งเป็นขั้นตอนของการคิดเชิงนามธรรม และสุดท้ายคือการออกแบบอัลกอริทึ่ม หรือ Algorithm Design คือ การหาคำตอบให้เป็นขั้นตอนที่สามารถนำไปปฏิบัติตามเพื่อแก้ปัญหาได้

รู้จักอัลกอริทึมเบื้องต้น

ขอบคุณแหล่งที่มาเนื้อหา : https://codegeniusacademy.com/computational-thinking/

  • ฮิต: 6199
© 2025 Church Joomla 4 Template
Powered by Gantry Framework
  • Home
  • เนื้อหาบทเรียน
    • วิชาการเขียนโปรแกรม
    • วิชาวิทยาการคำนวณ
  • เข้าสู่ระบบบทเรียน